1. ดื่มน้ำสม่ำเสมอตลอดวัน
เพราะคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักถึง60%ของร่างกาย การได้รับน้ำอย่างเพียงพอต่อวันจึงช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้เป็นปกติ ไม่ว่าจะกระบวนการขับถ่ายของเสีย รักษาอุณหภูมิของร่างกาย หรือ การทำงานของสมองล้วนต้องใช้น้ำในการหล่อเลี้ยงทั้งสิ้น การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดวันให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างจึงดีกับสุขภาพมากกว่า โดยทั่วไปคนเราต้องการน้ำอย่างน้อย 8–10 แก้ว (270 – 325 มิลลิลิตร) ต่อวัน
2. ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ
การใช้น้ำเกลือล้างจมูกเป็นประจำสามารถช่วยบรรเทาอาการคันจมูกและอาการคัดจมูกของผู้ที่เป็นหวัดได้ และยังช่วยชะล้างน้ำมูก เชื้อแบคทีเรีย และสารก่อภูมิแพ้อีกด้วย ส่วนเด็กเล็กที่ยังล้างจมูกไม่ได้ก็ใช้สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูกเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้โพรงจมูก ทำให้น้ำมูกนิ่มลง สามารถเช็ดหรือสั่งน้ำมูกออกมาได้ง่ายขึ้น ซึ่งตอนนี้สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูกก็หาซื้อได้ง่าย แล้วใช้งานเองได้สะดวกที่บ้าน ตามขั้นตอนดังนี้
- เปิดหัวจุก
- มองตรง ไม่ก้มหน้า ไม่เงยหน้า
- นำหัวฉีดเข้าโพรงจมูก
- บิดหัวฉีด 45 องศา โดยบิดออกไปทางด้านนอก แนะนำให้ใช้มือคนละข้างกับรูจมูกเป็นมือที่ถือแล้วกดพ่นสเปรย์ สมมติว่า ล้างรูจมูกด้านซ้าย ให้ใช้มือขวาจับพ่นยา
3. บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ เพื่อสุขอนามัยที่ดีในช่องปาก
ร่างกายคนเรามีโอกาสรับเชื้อแบคทีเรียได้ตลอดเวลาจากทางช่องปากและยังเป็นจุดสะสมแบคทีเรียดังนั้นแล้วการทำความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญเพื่อร่างกายที่แข็งแรง นอกเหนือจากการแปรงฟันแล้วการใช้น้ำเกลือกลั้วคอ และปาก เป็นประจำยังช่วยรักษาสุขอนามัยในช่องปาก ใช้ง่ายเพราะไม่มีฤทธิ์สารเคมี
4. ทานอาหารครบ 5 หมู่และออกกำลังกายเป็นประจำ
ร่างกายจะอยู่ในสภาวะที่แข็งแรงพร้อมต่อการรับมือโรคภัยหรือไม่นั้น ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญอย่างอาหารที่ดีต่อสุขภาพและการออกกำลังกายที่พอเหมาะพอดี โดยอาหารที่ดีต่อสุขภาพครบ 5 หมู่นั้นประกอบไปด้วย อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีไฟเบอร์สูงอย่างโฮลวีต รับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน เพิ่มเติมโปรตีนจากปลาอย่างสม่ำเสมอ และลดปริมาณอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง รวมทั้งการออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ 3 ครั้งเป็นเวลา 30 นาทียังช่วยลดความเสี่ยงจากมะเร็ง เบาหวาน และโรคหัวใจ ได้อีกด้วย
5. อบอุ่นร่างกายด้วยแกงไทยอุดมสมุนไพร
ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ลองมาอบอุ่นร่างกายเข้าไว้ด้วยน้ำแกงแบบไทยรสอร่อยคล่องคอ ที่อุดมด้วยสมุนไพรสดดีต่อสุขภาพอย่างขมิ้น ข่า ใบโหระพา และตะไคร้ ล้วนเป็นตัวช่วยฟื้นฟูร่างกายและทำให้เราจมูกโล่งหายใจสะดวกขึ้นได้ง่ายๆ
- ประโยชน์ของขมิ้นในอาหาร ขมิ้นมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างการทำงานของสมอง
- ประโยชน์ของข่าในอาหาร มีผลวิจัยว่าข่ามีส่วนช่วยในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ทั้งยังคุณสมบัติในการฟื้นฟูร่างกายจากความอักเสบและบรรเทาอาการปวด
- ประโยชน์ของใบโหระพาในอาหาร ใบโหระพามีคุณสมบัติช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงจากการเป็นเบาหวาน
- ประโยชน์ของตะไคร้ในอาหาร ตะไคร้มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
6. กินน้ำผึ้งวันละช้อนเพื่อลดอาการไอ
นอกจากหอมหวานกินง่ายแล้วน้ำผึ้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยชุ่มคอบรรเทาอาการแก้ไอ ทั้งยังมีบทวิจัยระบุว่าการทานน้ำผึ้งก่อนนอนวันละช้อนมีส่วนช่วยลดอาการไอระหว่างนอนหลับได้ เมื่อร่างกายได้หลับสนิทตลอดคืนก็กลับมาฟื้นไข้และแข็งแรงได้แล้วล่ะ
7. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การหลับพักผ่อนให้เพียงพอเป็นหนึ่งวิธีพื้นฐานที่สำคัญมากกับการดูแลร่างกายให้แข็งแรง เมื่อเราได้หลับอย่างเพียงพอร่างกายก็จะมีเวลาในการสร้างภูมิคุ้มกันอย่างทันท่วงที อาการหวัดที่เคยทำให้ไม่สบายตัวก็จะทุเลาลงได้ ซึ่งแต่ละช่วงวัยมีความต้องการเวลานอนที่แตกต่างกันดังนี้
- ผู้ใหญ่ ต้องการเวลานอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมง
- วัยรุ่น ต้องการเวลานอนหลับอย่างน้อย 8–10 ชั่วโมง
- วัยประถม ต้องการเวลานอนหลับอย่างน้อย 9–12 ชั่วโมง
- วัยอนุบาล ต้องการเวลานอนหลับอย่างน้อย 10–13 ชั่วโมง
- เด็กเล็ก ต้องการเวลานอนหลับอย่างน้อย 11–14 ชั่วโมง
- เด็กทารก ต้องการเวลานอนหลับอย่างน้อย 12–16 ชั่วโมง
- เด็กแรกเกิด ต้องการเวลานอนหลับอย่างน้อย 14–17 ชั่วโมง
ที่มาข้อมูล:
- https://www.cdc.gov/antibiotic-use/common-illnesses.html
- https://www.cdc.gov/antibiotic-use/colds.html
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3601686
- https://www.cochranelibrary.com/cdsr/doi/10.1002/14651858.CD006821.pub3/epdf/full